ประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
ในจำนวนไม่มาก ทำให้โอกาสที่จะสัมผัสผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้เป็นเรื่องค่อนข้างยาก
เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศปลายทาง
รวมถึงมีระบบคัดกรองผู้ป่วยตั้งแต่การเดินทางเข้าประเทศ
อาการของผู้ติดเชื้อสามารถมีได้หลายระดับความรุนแรง
ตั้งแต่อาการหวัดธรรมดาจนถึงปอดอักเสบติดเชื้อและเสียชีวิตได้
ในปัจจุบันมีการคัดแยกผู้ป่วยที่มีเกณฑ์เข้าข่ายสงสัย
คือมีประวัติเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงหรือสัมผัสผู้ติดเชื้อและมีอาการเพื่อเข้าห้องแยกความดันลบ
หรือ Negative Pressure Room โดยมีแพทย์ซึ่งสวมชุดป้องกันเป็นผู้ทำการตรวจ
โดยปกติแพทย์แยกเคสที่เข้าข่ายสงสัย ซึ่งประกอบไปด้วย 2 ข้อคือ
มีประวัติการเดินทางไปยังเมืองอู่ฮั่น (และเมืองอื่น ๆ ที่กรมควบคุมโรคกำหนด)
ภายใน 14 วัน หรือมีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019
และมีอาการโดยจะมีไข้หรือไม่มีไข้ก็ได้ หรืออาการหวัด น้ำมูก ไอ จาม หอบเหนื่อย โดยเมื่อมาถึงโรงพยาบาลจะถูกแยกไปตรวจเพื่อดูว่ามีการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
2019 หรือไม่
ถ้าไม่มีประวัติทั้งสองอย่างนี้จะไม่ถือว่าเป็นผู้ป่วยที่สงสัยและจะไม่ถูกแยกไปตรวจ
3) ใส่หน้ากากอนามัยช่วยป้องกันไวรัสโคโรนาได้ 100% หรือไม่?
ไวรัสโคโรนาเป็นกลุ่มเชื้อหวัดสายพันธุ์ใหม่ที่ยากจะคาดเดาอาการที่ปรากฏจึงส่งผลให้มีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น
แต่การติดต่อนั้นเหมือนกับไข้หวัด คือ ติดต่อผ่านละอองที่ออกกับลมหายใจ
หรือสัมผัสสารคัดหลั่ง สำหรับหน้ากากอนามัยแนะนำให้ผู้ป่วยใส่ วัตถุประสงค์ในการใช้หน้ากากอนามัยในผู้ป่วยคือ
ป้องกันเชื้อโรคออกจากตัวผู้ป่วย หากผู้ป่วยไอหรือจามจะติดอยู่ในหน้ากาก
ช่วยป้องกันการแพร่กระจายของโรค
สำหรับการใช้หน้ากากอนามัยในบุคคลปกติป้องกันได้เพียงส่วนหนึ่งควรใช้ร่วมกันกับวิธีอื่น
ๆ ด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคือ การสร้างจิตสำนึกให้คนป่วยใส่หน้ากาก
4) ไวรัสโคโรนารักษาหายได้จริงหรือไม่?
การติดเชื้อโคโรนาไวรัสสามารถหายได้เอง
ยาที่ใช้ในตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจน
การรักษาเป็นการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ โดยอาการที่มีแตกต่างกัน
บางคนรุนแรงไม่มากลักษณะเหมือนไข้หวัดทั่วไป บางคนรุนแรงมากทำให้เกิดปอดอักเสบได้
ต้องสังเกตอาการใกล้ชิดร่วมกับการรักษาด้วยการประคับประคองอาการจนกว่าจะพ้นอาการช่วงนั้น
ยาที่มีใช้ในตอนนี้ยังไม่มียาตัวใดที่มีหลักฐานชัดเจนว่ารักษาไวรัสโคโรนาได้โดยตรง
ยังอยู่ในช่วงทดลองการรักษา โดยเป็นยาที่ใช้รักษาไวรัสอื่น ๆ เช่น เอดส์
ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น
5) ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สามารถป้องกันไวรัสโคโรนาได้หรือไม่?
การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ไม่สามารถป้องกันไวรัสโคโรนาได้
วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ทำเพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่
โดยแนะนำให้ฉีดอ้างอิงตามแนวทางการให้วัคซีนของราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย
6) ผู้ที่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบมาก่อน
หากติดเชื้อไวรัสโคโรนาจะส่งผลให้เกิดโรคปอดอักเสบได้หรือไม่
และเฉพาะผู้สูงอายุหรือไม่ที่จำเป็นต้องฉีด?
วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบคือวัคซีนป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่ม Pneumococcus
ซึ่งไม่ใช่เชื้อไวรัส จึงไม่สามารถป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนาได้
โดยทั่วไปแพทย์แนะนำให้ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำฉีดเพื่อป้องกันโรคปอดอักเสบ
แต่คนทั่วไปไม่จำเป็นต้องฉีด
7) วิธีการรักษาไวรัสโคโรนาเหมือนกับวิธีการรักษาโรคไข้หวัดหรือไม่?
แม้ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 จะเป็นเชื้อในกลุ่มไข้หวัด
แต่ไม่ใช่ไข้หวัดธรรมดาเนื่องจากเป็นสายพันธุ์ใหม่
และสามารถทำให้เกิดอาการที่มากกว่าไข้หวัด เช่น ปอดอักเสบ ฯลฯ
โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว
อาจมีอาการรุนแรงหรือร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ซึ่งต่างจากไข้หวัดธรรมดา
จึงต้องมีการคัดแยกตรวจไวรัสโคโรนาเพื่อไม่ให้สัมผัสกับผู้อื่น
ป้องกันการติดเชื้อเพิ่ม และทำการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ
8) วิธีการป้องกันไวรัสโคโรนาที่ถูกต้องทำอย่างไร?
ล้างมือด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์ให้สะอาด
หลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณใบหน้าเพราะอาจติดเชื้อเข้าไปในระบบทางเดินหายใจได้
และหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วย
9) การทิ้งหน้ากากอนามัยที่ถูกต้องควรทำอย่างไร?
การทิ้งหน้ากากอนามัยที่ถูกวิธีทำได้โดยหลังจากถอดหน้ากากอนามัยแล้วให้ม้วนหน้ากากอนามัยโดยม้วนด้านในเข้า
จากนั้นจึงทิ้งลงในถังขยะติดเชื้อ
10)
การใช้เจลล้างมือมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการล้างมือด้วยสบู่หรือไม่?
มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากัน
โดยแอลกอฮอล์ที่แนะนำคือมีปริมาณแอลกอฮอล์ตั้งแต่ 60 - 70% ขึ้นไป
โดยสามารถสังเกตปริมาณแอลกอฮอล์ได้จากฉลากข้างผลิตภัณฑ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น